สุดยอดสถานที่ท่องเที่ยวในบราซิล ประเทศใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาใต้ นอกจากจะมีทีมฟุตบอลอันดับโลกแล้ว สถานที่ท่องเที่ยวก็ติดอันดับโลกด้วยเช่นกันค่า
สุดยอดสถานที่ท่องเที่ยวในบราซิล แต่ละที่คือสวยน่าทึ่งมาก! จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ประเทศนี้จะเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก หญิงปุ๊กได้รวบรวม 15 สุดยอดสถานที่ท่องเที่ยวในบราซิลมาให้ทุกคนแล้ว รับรองเด็ดๆ ปังๆ ทุกที่จ้าา >3<เที่ยวชมรูปปั้นพระเยซู Christ the Redeemer
Christ the Redeemer รูปปั้นพระเยซูคริสต์ที่มีขนาดใหญ่และมีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก! เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ ตั้งอยู่บนยอดเขาสูงใจกลางเมืองริโอ เดอ จาเนโร (Rio de Janeiro) มีความสูงราว 38 เมตร กางแขนกว้าง 28 เมตร ทำขึ้นจากคอนกรีตเสริมใยเหล็กและหุ้มด้วยหินสบู่ ทำให้มีความทนทานสูง
ถูกก่อสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1922 ใช้เวลาสร้างทั้งหมดถึง 9 ปี ออกแบบโดย Heitor da Silva Costa วิศวกรชาวบราซิล เป็นรูปปั้นพระเยซูกำลังยืนมองลงมาที่เมืองและกางแขนราวกับว่าทุกคนได้อยู่ในความคุ้มครองของพระองค์นั่นเองค่ะ ทำให้เป็นยึดเหนี่ยวทางจิตใจของชาวคริสต์ในบราซิลทั้งหมด และยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของเมือง มีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมถึงปีละ 2 ล้านคนเลยทีเดียว ถึงรูปปั้นนี้จะเคยถูกฟ้าผ่าในช่วงที่เกิดพายุฝนฟ้าคะนองอย่างหนักเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2008 แต่ก็ถือว่าคงสภาพได้อย่างดีเลยค่ะ
เราสามารถขึ้นมาบนยอดเขาได้ทั้งทางรถไฟ รถยนต์และบันไดเลื่อน สะดวกสบายสุดๆ พอขึ้นมาถึงจะเห็นโบสถ์สำหรับพิธีศีลจุ่มและงานแต่งงาน และยังได้ดื่มด่ำกับทิวทัศน์ของทั้งเมืองจากมุมสูงเป็นของแถมค่ะ และหากท่านใดต้องการเห็นวิวจากมุมสูงกว้างๆ ก็สามารถซื้อทัวร์ขึ้นเฮลิคอปเตอร์เพิ่มเติมได้อีกด้วยค่า
เที่ยวยอดเขาชูการ์ โลฟ (Sugarloaf Mountain)
หุบเขามหัศจรรย์ ชูการ์ โลฟ เป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายยอดนิยมของนักท่องเที่ยว ตั้งอยู่กลางอ่าวกัวนาบาร่า (Guanabara Bay) เมืองริโอ เดอ จาเนโร มีความสูง 1,300 ฟุต ว่ากันว่าชื่อ ชูการ์ โลฟ ถูกตั้งขึ้นตามรูปทรงของภูเขาที่ดูคล้ายกับก้อนน้ำตาลนั่นเองค่ะ ส่วนใครที่ชอบปีนเขาจะต้องปลื้มมมอย่างแน่นอน เพราะมีพื้นที่ในการปีนเขาที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งมีมากกว่า 270 เส้นทาง และมีความยากง่ายต่างกัน จึงเป็นสถานที่โปรดปรานของนักปีนเขาที่ชอบความท้าทายจากทั่วโลก
และยังมีบริการกระเช้าที่จะพาเราขึ้นไปสู่ยอดเขาชูก้า โรฟ ตอนที่อยู่บนกระเช้าลืมความเสียวไปหมดเลยค่า เพราะมัวแต่ตื่นเต้นกับวิวด้านล่าง >,< มองเห็นชายหาดโคปาคาบานา (Copacabana) ทะเลยอดฮิตของเมืองแบบมุมสูง ดูจากตรงนี้ยังเห็นถึงความใสของน้ำและความขาวของทรายเลยค่ะ จากยอดเขาสามารถมองเห็นรูปปั้นพระเยซูบนเขาอีกลูกได้ มองเห็นวิวทั้งหมดได้แบบพาโนราม่าที่มีทั้งชายหาด ทะเล โอบล้อมด้วยภูเขาและสีสันของบ้านเมือง เป็นมุมมองที่ดีงามฝุดๆ อากาศดี มาชมพระอาทิตย์ตกดินหรือพระอาทิตย์ขึ้นได้ หิวๆ ก็มีร้านค้า ร้านขายของ ร้านขายของที่ระลึกให้บริการ อู๊ยย อะไรจะรู้ใจขนาดนี้~
เที่ยวชายหาดโคปาคาบาน่า (Copacabana)
มาต่อกันที่โคปาคาบาน่า ชายหาดที่โด่งดังที่สุดในบราซิลที่เราพูดถึงไว้เมื่อกี้กันค่ะ จุดเด่นคือหาดทรายเป็นทางโค้งยาวถึง 4 กิโลเมตร จากตามแนวหาดเรียงรายด้วยโรงแรมหรู ร้านอาหาร ไนท์คลับ ห้างสรรพสินค้า และวิวภูเขา บรรยากาศสบายๆ ระยะทางเหมือนจะไกล แต่ใครกำลังอินเลิฟคงเดินได้ชิลๆ เลยใช่ม้าา >///< ที่นี่เป็นเหมือนเป็นศูนย์รวมกิจกรรมความสนุกและกีฬาหลายประเภท ทั้งเล่นเซิร์ฟ ปั่นจักรยาน วอลเลย์บอลชายหาด ฟุตบอลชายหาด หรือแค่นอนอาบแดดก็ฟินแล้วค่า อาหารตาเต็มไปโม้ดด ใกล้ๆ หาดยังมีพิพิธภัณฑ์ภาพและเสียง และป้อมปราการ Copacabana ที่ปัจจุบันเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์กองทัพ มีการจัดแสดงปืนใหญ่และอุปกรณ์ทางการทหารอื่นๆ ให้ชมด้วยค่า
และในช่วงปีใหม่จะคึกคักมากเป็นพิเศษเพราะมีการแสดงดอกไม้ไฟที่โด่งดังระดับโลก! สวยงามอลังการจนดึงดูดผู้คนกว่า 2 ล้านคนเลยทีเดียว
เที่ยวน้ำตกอีกวาซู (Iguazu Falls)ฃ
น้ำตกอีกวาซู มาจากภาษากวารานี (Guarani) ของชาวอินเดียนแดงเผ่าดั้งเดิม แปลว่าน้ำที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งก็ใหญ่สมชื่อจริงๆ ค่า เพราะมีความยาวกว่า 4 กิโลเมตร สูง 269 ฟุต ใหญ่กว่าน้ำตกไนแอการาถึง 30 เท่า!! ละอองน้ำฟุ้งกระจายเสียงดังไปไกลกว่า 24 กิโลเมตร และได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติอีกด้วย
โดยเราสามารถมองเห็นน้ำตกได้ทั้งจากฝั่งบราซิลและอาร์เจนตินาเลยค่ะ จึงทำให้อิกัวซูได้รับสมญานามว่าน้ำตกสองสัญชาติ หรือน้ำตกสองแผ่นดิน ฝั่งอาร์เจนตินาจะมีพื้นที่ใหญ่กว่าประมาณ 80% ส่วนฝั่งบราซิลพื้นที่น้อยกว่า เดินแค่ 2 ชั่วโมงก็ทั่วแล้วค่ะ วิวที่เห็นจะเป็นวิวแบบพาโนรามา *0* สวยจัดปลัดบอก และยังมีจุดชมวิวและสะพานทอดยาวไปถึงตัวน้ำตก ให้เราได้สัมผัสความชุ่มช่ำกันเต็มๆ หรือจะล่องเรือเพื่อชมความยิ่งใหญ่อลังการของน้ำตกอย่างใกล้ชิด เปียกปอนกันไป ก็ตื่นเต้นไปอีกแบบค่า
เที่ยวริโอ คาร์นิวัล (Rio Carnival)
ชมแสงสีเสียงสุดตระกาลตากับ ริโอ คาร์นิวัล เทศกาลรื่นเริงประจำปีที่สำคัญของบราซิล จัดที่แซมโบโดรม (Sambodrome) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1930 จนถึงปัจจุบันค่ะ โดยจะจัดขึ้นก่อนวัน Ash Wednesday ซึ่งเป็นวันสำคัญวันหนึ่งของศาสนาคริสต์
ใครที่เป็นสายแดนซ์ มางานนี้นั่งไม่ติดเก้าอี้แน่นอนค่า เพราะมีคณะเต้นรำและโรงเรียนต่างๆ รวมกว่า 4,500 คน มาแข่งขันโชว์ลีลาการเต้นแซมบ้า และเดินโชว์ขบวนพาเหรดที่ตกแต่งอย่างยิ่งใหญ่อลังการ ทั้งเสื้อผ้าหน้าผม ขนนก เพชรระยิบระยับมาหมดจ้า พูดง่ายๆ ว่าจัดเต็มแบบไม่มีใครยอมใคร ยิ่งกว่าชุดประจำชาติในมิสยูนิเวิร์สซะอี๊กกก เพื่อชิงมงกุฎคิง โมโม ราชาแห่ง ริโอ คาร์นิวัล พร้อมเงินรางวัลอีกมากมาย งานนี้เต้นสะบัดกันแบบลืมโลกไปเลยย มีนักท่องเที่ยวมาร่วมงานกว่า 5 ล้านคนต่อปี สนุกสุดเหวี่ยงสมกับเป็นงานคาร์นิวัลที่ใหญ่ที่สุดในโลกจริงๆ ค่า
เที่ยวบันไดโมเสก (Escadaria Selarón)
บันไดโมเสกสีสันสดใส อีกหนึ่งสัญลักษณ์ของเมืองริโอ เดอ จาเนโร เมื่อก่อนก็เป็นแค่บันไดธรรมดาๆ ทั่วไปค่ะ ต่อมาในปี ค.ศ. 1990 ศิลปินชาวชิลีชื่อว่า Jorge Selarón ที่ชอบเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วโลก ได้ตกหลุมรักประเทศบราซิล จึงมาปักหลักตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่ เขาได้ซ่อมแซมบันไดบ้านตัวเองที่ชำรุด โดยนำกระเบื้องหลากสีสันมาตกแต่ง ผู้คนแถวนั้นเดินผ่านไปมาก็ให้ความสนใจ เขาเลยตกแต่งบันไดทางเดินทั้งหมด 125 ขั้น โดยไปซื้อเศษกระเบื้องเก่าๆ จากร้านค้า ซึ่งมีกระเบื้องจากทั่วทุกมุมโลก เดินชมเพลินๆ ก็ไปสะดุดกับกระเบื้องที่เขียนว่าบ้านมั่งมีศรีสุข รู้ทันทีเลยค่ะว่ามาจากประเทศไทย ^^
ปัจจุบันมีกระเบื้องและโมเสกชิ้นเล็กๆ นับแสนชิ้น จากกว่า 60 ประเทศ ซึ่งถือเป็นผลงานที่เขามอบให้แก่ชาวบราซิล โดยได้เขียนข้อความลงบนบันไดว่า “Brasil Eu Te Amo Selarón” แปลว่า บราซิลฉันรักคุณ สีสันและความสวยงามของบันไดแห่งนี้กลายเป็นอีกจุดท่องเที่ยวยอดฮิตไปแล้ว ใครได้เห็นก็ต้องแวะถ่ายรูปกันรัวๆ เลยค่า
เที่ยวสนามฟุตบอลมารากานัง (Maracanã Football Stadium)
สนามฟุตบอลมารากานัง หรือสนามกีฬาแห่งชาติของบราซิล ถือเป็นหนึ่งในสนามฟุตบอลที่ใหญ่ที่สุดในโลก! อยู่ในลำดับที่ 23 (2019) จุคนได้ 78,838 คน เปิดใช้งานอย่างเป็นทางการวันที่ 16 มิถุนายน ค.ศ. 1950 ในการแข่งขันฟุตบอลโลก ซึ่งมีผู้เข้าชมมากถึง 199,854 คน ถือว่ามากที่สุดในประวัติศาสตร์เลยค่า นอกจากนี้ยังใช้ในพิธีเปิดและปิดโอลิมปิก 2016 และคอนเสิร์ตใหญ่ๆ อีกหลายงาน ส่วนสนามฟุตบอลที่ใหญ่ที่สุดในโลก คือ Rungrado May Day Stadium ในเกาหลีเหนือ จุคนได้ 114,000 คน, Camp Nou สเปน จุคนได้ 99,354 คน และ FNB Stadium ในแอฟริกาใต้ จุคนได้ 94,736 คนค่ะ
เราสามารถชมห้องล็อกเกอร์ของนักฟุตบอลได้ เรียกได้ว่านักเตะตัวดังๆ เคยใช้งานห้องนี้มาแล้วทั้งนั้น อย่าง Pelé นักเตะวีรบุรุษแห่งชาติของบราซิล และยังมีการจัดแสดงสิ่งของประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่า เช่น ลูกฟุตบอลเก่าแก่ สุดท้ายคือการเดินลงไปในสนามเพื่อสัมผัสบรรยากาศและความนุ่มของหญ้าเขียวๆ รู้สึกเหมือนเป็นนักฟุตบอลกำลังจะแข่งยังไงอย่างนั้นเลยยย >,<
เที่ยวอุทยานแห่งชาติแลงคอยส์ มารานฮานส์ (Lencois Maranhenses National Park)
อุทยานแห่งชาติเลนซอยส์ มารานเยนเสส อยู่ที่รัฐมารันเยาค่ะ (Maranhão) ครอบคลุมพื้นที่กว่า 1,500 กิโลเมตร เป็นที่ตั้งของเนินทรายสีขาวกว้างใหญ่ ที่เกิดจากการกัดกร่อนของลมและฝน ทำให้มีลักษณะเป็นแอ่งและลอนคลื่นสวยงาม และเนื่องจากที่นี่ฝนตกบ่อยและหนักมากก เนินทรายขนาดใหญ่ก็ทำหน้าที่ในการกักเก็บน้ำจนกลายเป็นทะเลสาบสีมรกตขั้นกลางระหว่างเนิน เกิดเป็นสิ่งมหัศจรรย์ธรรมชาติที่สวยแปลกตา จนเรียกกันว่าทะเลสาบคริสตัล
แนะนำให้มาช่วงเดือนสิงหาคม – เดือนกันยายนนะคะ เพราะแอ่งของเนินทรายนั้นได้กักเก็บน้ำฝนมาตั้งแต่เดือนมกราคม – เดือนกรกฎาคม จะได้เห็นทะเลสาบที่เป็นเหมือนสระว่ายน้ำกลางแจ้งขนาดใหญ่ แถมที่อุทยานแห่งนี้ไม่ได้มีดีแค่ทะเลทราย แต่ยังมีกิจกรรมอื่นๆ ให้ทำอีก เช่น ว่ายน้ำ ชมพระอาทิตย์ตก เล่นแซนด์บอร์ด (Sandboarding) ชมสัตว์อย่างนกฟลามิงโก และลิงคาปูชิน ลิงท้องถิ่นที่สามารถทนต่อความแห้งแล้งได้เป็นอย่างดี และยังมีพักและสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันไว้รอต้อนรับนักท่องเที่ยวอีกด้วยค่า
เที่ยวป่าอเมซอน (Amazon Rainforest)
สายลุย ไม่คุยให้เสียเวลา หญิงปุ๊กจะพาทุกคนไปตะลุยป่าอเมซอนกันนน ป่าอเมซอนเป็นป่าร้อนชื้นขนาดใหญ่ กินเนื้อที่กว้างถึง 2 ใน 5 ของทวีปอเมริกาใต้ และครอบคลุมพื้นที่ครึ่งหนึ่งของประเทศบราซิลเลยค่ะ โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ ตอนเหนือซึ่งเป็นป่า และตอนใต้คือแม่นํ้าอเมซอน ซึ่งมีต้นนํ้าอยู่ที่เทือกเขาแอนดีส (Andes) ของเปรู แล้วไหลเป็นระยะทางถึง 6,400 กิโลเมตร ก่อนจะลงสู่มหาสมุทรแอตแลนติก
ที่นี่มีฝนตกชุกตลอดทั้งปีเลยค่ะ ทำให้อากาศชื้น และเต็มไปด้วยต้นไม้และพันธุ์พืชมากกว่าล้านชนิด เป็นแหล่งอาศัยของสัตว์มากมาย และเลื่องลือเรื่องสัตว์ป่าอันตราย จนถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์หลายเรื่อง เช่น อนาคอนด้า งูที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก! สามารถกินจระเข้ทั้งตัวได้แบบสบายๆ เลยค่า มันจะรัดเหยื่อจนกว่าจะตาย จากนั้นก็ค่อยๆ เขมือบและกลืนลงท้องในที่สุด… คนตัวบอบบางอย่างเรา ต้องหายไปใน 3วินาทีแน่ๆ เลย โอ่วววว แค่คิดก็สยองแล้วว TOT
จระเข้เคแมน จระเข้ขนาดใหญ่ ที่มีขากรรไกรอันแข็งแกร่งและฟันแหลมคม สามารถกินสัตว์ได้ทุกชนิดไม่ว่าจะเป็น นาก ปลา ลิง หรือแม้แต่คน! อะเฮือกกกก
กิ้งก่าพระเจ้า มีครีบใหญ่บนหลังเหมือนปลา เคลื่อนที่อันรวดเร็ว เท้าของมันจะสร้างฟองอากาศลงไปในน้ำ ทำให้เกิดแรงพยุงตัวไว้ไม่ให้จม จึงทำให้วิ่งบนน้ำได้ เจ๋งเว่อออร์
กบแก้ว เป็นกบโปร่งแสง สามารถมองทะลุไปถึงตับไตไส้พุงเลยค่า แถมอวัยวะทุกอย่างยังใช้งานได้ดีปกติอีกด้วย
โลมาสีชมพู เป็นหนึ่งในโลมาน้ำจืดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีความยาวถึง 2.5 เมตร ผิวหนังสีขาวอมชมพูนมๆ น่าตาน่ารักมุ้งมิ้งไปอีกกกก
สลอธ สัตว์ที่เคลื่อนที่ช้าที่สุดในโลก~ ช้ามากกก ช้าแบบยอมใจเลยจ้า เป็นสัตว์ที่ชอบอยู่ตามลำพัง ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่บนต้นไม้ และนอนวันละ 15-20 ชั่วโมง มีมวลกล้ามเนื้อน้อย แค่ 1 ใน 4 ของน้ำหนักตัว จึงทำให้เคลื่อนไหวช้าเพื่อช่วยประหยัดพลังงานร่างกาย แถมขนตามตัวจะมีตะไคร่เกาะอยู่ เพื่อช่วยพรางตัวและกลิ่นจากนักล่านั่นเองค่ะ
ปลาปิรันย่าท้องแดง ซึ่งเป็นพันธุ์ที่ดุร้ายที่สุด! ฟันคมกริบภาพติดตาที่เคยดูหนังสมัยเด็กๆ คือ ฝูงปลาปิรันย่ารุมกินเหยื่ออย่างไวแบบไม่ทันกระพริบตา เลือดแดงกระเด็นกระจาย เหยื่อไม่เหลือแม้แต่ซาก น่ากลัวจริงๆ เลย เล่าขนาดนี้คงจะรู้สึกเสียวๆ กันใช่ไหมคะ >,< อยากไปเห็นด้วยตาตัวเองไหมคะ 555 แหม่.. จะบ้าเหรอ ใครจะไป๊.. แต่จริงๆ แล้ว ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดนะคะ เพราะเราจะจับปลาปิรันย่ามากินแทน มันเป็นเหยื่อมนุษย์ค่ะ 555
ไม่ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัย เพราะมีนายพรานหรือไกด์คอยแนะนำข้อมูลต่างๆ ตลอดทาง กลางคืนก็ออกไปดูเสือ ดูจระเข้ ตื่นเต้น ระทึกใจสุดๆ หรือจะล่องเรือชมบรรยากาศก็ได้ ที่นี่อากาศดี รู้สึกหายใจได้โล่งปอดมากๆ สดชื่นนนน ใครที่ต้องการผจญภัยและเข้าถึงธรรมชาติแบบแท้จริง ลองมาเยือนป่าอเมซอนดูสักครั้งนะค้า รับรองว่าได้ประสบการณ์ดีๆ กลับไปแน่นอนน
เที่ยวป่าแพนทานัล (Pantanal)
นอกจากป่าอเมซอนแล้ว ป่าแพนทานัลก็เด็ดไม่แพ้กันค่า เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก! หรือเฉลี่ยประมาณ 170,000 ตารางกิโลเมตร โดยคำว่า Pantanal มาจาก pântano ในภาษาสเปน แปลว่าหนองน้ำ ห้วย บึง นั่นเอง พื้นที่ส่วนใหญ่จะเป็น แม่น้ำ ทะเลสาบ ทุ่งหญ้า อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชน้ำนานาชนิด ซึ่งก็กลายเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญของปลาน้ำจืดและสัตว์ป่ามากมาย โดยมีนกกว่า 700 สายพันธุ์ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 100 ชนิด ปลาน้ำจืดอีกเกือบ 300 ชนิด รวมถึงสัตว์ครึ่งบนครึ่งน้ำ และสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังอื่นๆ อีกนับไม่ถ้วน
เราจะชมธรรมชาติโดยการเดิน พายเรือ ขี่ม้า หรือจะนั่งรถซาฟารีไปตามเส้นทางในป่าต่างๆ ก็ได้ค่ะ อ้อ! มีหอดูสัตว์เพื่อชมความงามจากที่สูงด้วยนะคะ มองออกไปได้สุดลูกหูลูกตา แอบเห็นรังของนกกระสาขนาดใหญ่ ตัวสีขาวล้วน หัวสีดำ ตรงคอมีสีแดง ว่ากันว่าเป็นสัญลักษณ์ของป่าแพนทานัล นอกจากตอนกลางวันจะไปสำรวจป่าตามหาสัตว์แล้ว ตกเย็นยังได้ชมพระอาทิตย์ตกสุดโรแมนติก และยังมีบริการที่พักสำหรับนักท่องเที่ยว ค่ำๆ ก็ออกไปเดินส่องสัตว์รอบๆ ที่พักได้ มีทั้งค้างคาว นกกลางคืน แมงมุม สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำสารพัด และตัวกินมดยักษ์ (Giant Anteater) ที่ถือเป็นสุดยอด 1 ใน 5 ของสัตว์ป่าแห่งบราซิล
เที่ยวเกาะเฟอร์นันโด เดอ โนรอนญา (Fernando de Noronha)
เกาะเฟอร์นันโด เดอ โนรอนญา เป็นเกาะที่ขึ้นชื่อเรื่องความสวยงามมากที่สุดอีกแห่งหนึ่งของโลก ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติก อยู่ห่างจากชายฝั่งบราซิล 354 กิโลเมตรค่ะ เกิดจากภูเขาไฟระเบิดจนเกิดเป็นเกาะเล็กๆ 21 เกาะ โดยพื้นที่ถึง 70% ได้รับการคุ้มครองและกำหนดให้เป็นมรดกโลกด้วยค่ะ เปิดให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้ามาเที่ยวได้แค่ 470 คนต่อวันเท่านั้น ระบบนิเวศน์ที่นี้จึงสวยงามมาก อากาศอบอุ่น กำลังดี น้ำทะเลสีฟ้าใสจนมองเห็นเกาะที่จมอยู่ใต้น้ำได้ มีโรงแรมหรูสวยๆ ให้เลือกพักมากมาย เป็นเหมือนสวรรค์ของเหล่าคนดังที่จะแวะมาพักผ่อนกัน
กิจกรรมยอดฮิตคือดำน้ำชมปะการัง ถือเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ดำน้ำที่ดีที่สุดในทวีปอเมริกาใต้ มีหินรูปทรงและสีสันแปลกตา และยังเป็นที่อยู่ของปลาโลมาอีกด้วยค่า หรือจะขี่ม้าบนชายหาด ปีนหน้าผา เดินป่า ก็สนุกไปอีกแบบ เรียกได้ว่าดีงามและคุ้มค่าแก่การมาเที่ยวพักผ่อนที่ซู้ดดด
เที่ยวโบนิโต (Bonito)
เมืองโบนิโต เป็นเมืองเล็กๆ อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของของรัฐมาโต กรอสโซ่ โดซัล (Mato Grosso Do Sul) มีป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ เต็มไปด้วยเขาหินปูน และป่าทุ่งหญ้าสะวันนาเขตร้อน มีทั้งทะเล น้ำตก ทะเลสาบ ซึ่งแต่ละที่คือน้ำใสมากกก ใสกริ๊งๆ ราวกับกระจกเลยก็ว่าได้ค่า มีผู้คนอาศัยอยู่ไม่ถึง 2 หมื่นคน แต่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกในเรื่องของการท่องเที่ยวธรรมชาติในเชิงอนุรักษ์ ขนาดนอนที่โรงแรมยังได้ยินเสียงนกร้องจิ๊บๆ เพราะทางโรงแรมเอาเมล็ดพืชมาวาง และยังปลูกต้นไม้ที่ให้เมล็ดที่เป็นอาหารของนก นกที่อยู่ตามธรรมชาติ เช่น นกแก้วมาคอว์ จึงบินมาหาเองโดยไม่จำเป็นต้องมาจับใส่กรง หูยยย เรียกได้ว่าใส่ใจ สมกับเป็นเมืองอนุรักษ์ธรรมชาติจริงๆ ค่า
ส่วนกิจกรรมก็มีให้ทำมากมายทั้งดำน้ำ ตกปลา ล่องแก่ง พายเรือคายัค เดินป่าศึกษาเส้นทางธรรมชาติ ซึ่งจะมีไกด์คอยนำ ทัวร์ส่องสัตว์ป่า ชมนก และเที่ยวพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำศึกษาสิ่งแวดล้อมใต้ทะเลอย่างใกล้ชิด ที่ห้ามพลาดเลยก็คือสำรวจถ้ำ Blue Lake Grotto เต็มไปด้วยหินงอกหินย้อยอันงดงาม เมื่อเดินเข้าไปจะพบทะเลสาบที่สะท้อนแสงออกเป็นสีเขียวฟ้าเทอร์ควอยซ์ ซึ่งหลังจากที่มีการค้นพบก็มีการทำการอนุรักษ์อย่างจริงจังในช่วงปี ค.ศ. 1977-1978 และเริ่มเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมในปี ค.ศ. 1982 ค่ะ
เรียกได้ว่าถ้าใครได้มาเยือนเมืองโบนิโต สถานที่ที่เต็มไปด้วยธรรมชาติอันงดงามแห่งนี้ จะต้องหลงรักและเพลิดเพลินจนไม่อยากกลับบ้านกันเลยทีเดียวค่า >3<
เที่ยวมหาวิหารบราซิเลีย (Cathedral of Brasília)
ถ้ามาถึงเมืองบราซิเลีย จุดหมายห้ามพลาดคือมหาวิหารบราซิเลีย เป็นโบสถ์ประจำเมือง ซึ่งมีรูปร่างแปลกตาและโดดเด่นมาแต่ไกล ใครเห็นครั้งแรกก็คง งงๆ คิดว่าจานบิน >,< แหะๆ ตัวโบสถ์เป็นคอนกรีตรูปทรงโค้งคว่ำ ตรงยอดเป็นทรงคอขวด มียอดปลายแหลมเป็นแฉกๆ ลักษณะคล้ายคบเพลิง ตัววิหารทั้งหมดเป็นการนำเสาคอนกรีต 16 เสา มาประกอบรวมกัน เป็นการสื่อแสดงถึงมือ 2 มือที่พนมขึ้นหาสวรรค์เบื้องบน จัดเป็นสถาปัตยกรรมทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
ด้านในตกแต่งด้วยกระจกสีฟ้า เขียว และน้ำตาล เป็นศิลปะโมเซอิก ออกแบบโดยออสคาร์ เนียร์เมเยอร์ (Oscar Niemeyer) งดงามจนยูเนสโกยกย่องให้เป็นมรดกโลกเลยล่ะค่า และยังมีการจัดแสดงภาพเกี่ยวกับพระแม่มารีบนเสาหินอ่อน และรูปปั้นเทวดาลอยอยู่ในอากาศ โดยใช้สายเคเบิ้ลเหล็กยึดรูปปั้นไว้กับเพดาน ทำให้ดูเหมือนเหล่าเทวดากำลังบินไปมาอยู่นั่นเอง
เที่ยวเมืองซัลวาดอร์ (Salvador)
เมืองซัลวาดอร์ อดีตเมืองหลวงของบราซิล ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลก มีชื่อเสียงในด้านอาหาร ดนตรีและสถาปัตยกรรมที่ได้รับอิทธิพลมาจากโปรตุเกส แอฟริกาและอเมริกันอินเดีย ที่นี่เป็นเมืองแรกของอเมริกาใต้ที่ถูกโปรตุเกสครอบครอง จึงเต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่องยุคอาณานิคมที่สวยงาม สีสันน่ารักมากกก เป็นสวรรค์แห่งการช้อปปิ้ง เดินดูเครื่องประดับแฟชั่นใหม่ๆ ซื้ออาหารอร่อยๆ แม้ในอดีตเมืองซัลวาดอร์จะเคยเป็นศูนย์กลางการค้าทาสในแถบอเมริกาใต้มาก่อน แต่ปัจจุบันได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงแห่งความสุข ที่โด่งดังในเรื่องเทศกาลและงานสังสรรค์ต่างๆ เต็มอิ่มไปกับเทศกาลดนตรี
และชมศิลปะร่วมสมัย พร้อมทัวร์ประวัติศาสตร์ ชมสถาปัตยกรรมเก่าแก่และเรียนรู้เรื่องราวในอดีตของบราซิล เช่น พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ Nautical Museum of Bahia เป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์การเดินทางโดยเรือที่ขึ้นชื่อ เรียนรู้ว่าชีวิตกลางทะเล พร้อมกับชมเรือจำลองโบราณและวัตถุด้านการเดินเรือมากมาย
São Francisco โบสถ์อันหรูหราสไตล์บาร็อค ภายในตกแต่งด้วยไม้แกะสลักด้วยทองคำ และการปิดทองของแท่นบูชาสูงนั้นจะต้องใช้ความประณีตมากเป็นพิเศษ จนใช้เวลาสองปีในการตกแต่งเลยทีเดียวค่ะ
เที่ยวเมืองเซา เปาโล (Sao Paulo)
เซา เปาโล เป็นเมืองใหญ่สุดของประเทศบราซิล และใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก เป็นศูนย์รวมทางด้านเศรษฐกิจ เปรียบเหมือนหัวใจในการขับเคลื่อนทางการเงินของบราซิลเลยก็ว่าได้ค่ะ มีตึกสูงระฟ้าและมีผู้คนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ผสมผสานกับสถาปัตยกรรมโบราณสไตล์บาร็อกและโกธิก ช่างลงตัวและเข้ากันสุดๆ ดูเป็นเมืองที่เจริญแต่มีมนต์ขลังและได้กลิ่นอายของความเก่าแก่
ไฮไลท์ก็คือ มหาวิหารเซาเปาโล (Catedral da Se) โบสถ์โรมันคาทอลิกประจำเมือง ที่มีความเก่าแก่และสวยงาม จนเป็นสถานที่ที่ถูกถ่ายภาพมากที่สุดในเมืองค่ะ ภายในเป็นโถงขนาดใหญ่สามารถจุคนได้มากถึง 8,000 คน และยังมีห้องใต้ดินที่ใช้สำหรับเก็บศพของพระสังฆราชด้วยค่ะ
หรือจะมาเดินเล่นพักผ่อนที่สวนสาธารณะอิบิราปูเอรา (Parque do Ibirapuera) พื้นที่สีเขียวอันยิ่งใหญ่ใจกลางเมือง มีทะเลสาบ และพื้นที่การแสดงกลางแจ้ง มีดนตรีบราซิลแบบดั้งเดิมให้ฟังกันเพลินๆ มีหอประชุมอิบิราปูเอราอยู่ภายในสวน ซึ่งเป็นหนึ่งในอาคารที่โดดเด่นที่สุดในเซาเปาลู ออกแบบโดย Oscar Niemeyer สถาปนิกชื่อดังของบราซิล ภายในใช้แสดงสถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมสมัยใหม่ และโรงเรียนสอนดนตรีค่ะ
หอศิลป์แห่งรัฐเซาเปาโล (Pinacoteca do Estado) เป็นพิพิธภัณฑ์เก่าแก่ที่สุดในเซาเปาโล ใช้จัดแสดงผลงานของศิลปินชาวบราซิลกว่า 10,000 ชิ้น ทั้งภาพวาดและประติมากรรมจากยุคปี ค.ศ. 1800 จนถึงปัจจุบัน และยังเล่าเรื่องราวในประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้ทางการเมืองของบราซิลอีกด้วยค่า
ขอบคุณแหล่งที่มา https://www.yingpook.com
No comments:
Post a Comment