CASINO ONLINE

CASINO ONLINE
CASINO ONLINE

Sunday, April 28, 2019

10 สุดยอดสถานที่ท่องเที่ยวในอียิปต์ EGYPT ประเทศแห่งอารยธรรมโบราณ

สุดยอดสถานที่ท่องเที่ยวในอียิปต์ สาธารณรัฐอาหรับอียิปต์ ประเทศแห่งอารยธรรมโบราณ ที่มีกลิ่นอายของประวัติศาสตร์ลึกลับ และตำนานอันน่าพิศวง สัมผัสกับ 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก


สุดยอดสถานที่ท่องเที่ยวในอียิปต์  รับรองว่าต้องหลงเสน่ห์ดินแดนอาหรับโบราณแห่งนี้จนถอนตัวไม่ขึ้นแน่นอนค่า

เที่ยวมหาพีระมิดแห่งกีซา (The Great Pyramid of Giza)

มหาพีระมิดแห่งกีซา (The Great Pyramid of Giza) หรือที่รู้จักกันในชื่อ พีระมิดคีออปส์ 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ และเป็นพีระมิดที่ใหญ่ที่สุดในโลก! ตั้งอยู่บนที่ราบสูงทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไนล์ในเขตชานเมืองของกรุงไคโรสมัยใหม่ สร้างขึ้นในช่วงของกษัตริย์ Khufu ราวๆ 2,600 ปีก่อนคริสตกาล หรือ เมื่อประมาณ 4,600 ปีที่แล้วในสมัยราชวงศ์ที่ 4 แห่งอิยิปต์ เป็นเวลาที่ยาวนานมากๆ เลยใช่ไหมคะ

มหาพีระมิดแห่งกีซ่าประกอบไปด้วย 3 พีระมิดด้วยกัน ได้แก่  พีระมิดคูฟู (Khufu) หรือ มหาพีระมิดแห่งกีซ่า (The Great Pyramid of Giza) ซึ่งแต่ก่อนเคยมีความสูงถึง 481.4 ฟุต ถ้านึกภาพไม่ออกว่าสูงขนาดไหน ก็แค่สูงพอๆ กับตึก 40 ชั้นเองค่ะทุกค๊นน!!  เมื่อกาลเวลาผ่านไปทำให้ปัจจุบันความสูงของพีระมิดเหลือเพียง 450 ฟุต เท่านั้นค่ะ

ต่อมา พีระมิดคาเฟร (Khafre) ตั้งอยู่ตรงระหว่างกลาง พีระมิดคาเฟรถูกสร้างบนพื้นที่สูงทำให้เมื่อดูเผินๆ แล้วดูใหญ่กว่าทั้ง 3 พีระมิด แต่ความจริงแล้วมีขนาดความสูงและฐานที่แคบกว่าพีระมิคูฟูค่ะ จุดเด่นของพีระมิดคาเฟรคือ ยังคงมีชั้นหินปูนขัดมันอยู่ที่ส่วนยอดของพีระมิดหลงเหลืออยู่ ในขณะที่อีก 2 พีระมิดไม่เหลือชั้นหินปูนขัดมันอยู่แล้วค่ะ

และสุดท้ายคือ พีระมิดเมนคูเร (Menkaure) มีขนาดเล็ก และมีอายุน้อยที่สุดในหมู่พีระมิดทั้ง 3 มีความสูงเพียง 230 ฟุตเท่านั้นค่ะ สาเหตุที่สร้างพีระมิดแห่งนี้ขึ้นมาเพื่อเป็นการเก็บรักษาพระศพของราชวงศ์กษัตริย์  และรอการฟื้นคืนชีพตามความเชื่อของชาวอียิปต์สมัยก่อนนั่นเอง! ซึ่งเป็นต้นแบบของมัมมี่ในหนัง.. ถ้า The Mummy Returns ก็เตรียมวิ่งเลยเจ้าค่าาาา



สงสัยกันไหมเอ่ย…ว่าในสมัยยุคโบราณนั้นเค้าก่อสร้างสิ่งมหัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ระดับโลก ขนาดนี้ได้ยังไงกัน ทั้งๆที่เทคโนโลยียังเข้าไม่ถึงเลยด้วยซ้ำ การยกแท่งหินขนาดใหญ่หลายสิบตันนำมาเรียงกันจนก่อขึ้นเป็นพีระมิด ถ้าเรียงผิดหรือไม่ตรงกันแค่เซ็นเดียวพีระมิดก็อาจจะถล่มลงมาได้เลยนะ  ไหนจะโครงสร้างภายในที่ประกอบไปด้วยแท่งหินแกรนิตสีแดงขนาดใหญ่หลายสิบแท่ง แท่งที่ใหญ่ที่สุดที่ค้นพบหนักถึง 200 เมตริกตัน เลยทีเดียวค่ะ โดยทั้งหมดยังคงเป็นปริศนาที่หาคำตอบไม่ได้ ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร มีแต่เพียงภาพแกะสลักบนฝาผนังหิน ที่สลักการเคลื่อนย้ายเทวรูปหินขนาดใหญ่ด้วยแรงคนนับร้อยๆ คนเลยค่ะ

การจะเดินทางไปเที่ยวที่มหาพีระมิดแห่งกีซ่านั้น หญิงปุ๊กขอแนะนำ ช่วงเดือนธันวาคม – เดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งอยู่ในช่วงฤดูหนาวของอียิปต์ อากาศจะอยู่ประมาณที่ 8 – 20 องศาเซลเซียส เหมาะสำหรับการขี่อูฐชมวิวชมพีระมิดมากๆ ค่ะ และในช่วงกลางคืนก็จะมีการแสดงแสงสีเสียงที่เรียกว่า Sound and Light Show โดยใช้พีระมิดเป็นฉากหลังพร้อมกับประดับไฟตระการตา การจัดแสดงนี้ทำให้เราได้สัมผัสกับความสวยงามของพีระมิดในอีกมุมหนึ่งแบบน่าตื่นตาตื่นใจสุดๆ



อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญสำหรับการเที่ยวที่มหาพีระมิดแห่งกีซาคือ มหาสฟิงซ์ (The Great Sphinx of Giza) หรือ สฟิงซ์ ตำนานที่มีชื่อเสียงของอียิปต์ เอเชีย และกรีก ในตำนานกล่าวไว้ว่าสฟิงซ์คือ สิ่งมีชีวิตที่มีร่างกายเป็นสิงโต มีศีรษะเป็มนุษย์  โดยชาวอียิปต์เชื่อกันว่าสฟิงซ์คือ ผู้พิทักษ์ฝ่ายวิญญาณ ส่วนมหาสฟิงซ์แห่งกีซ่านั้น ชาวอียิปต์เชื่อว่าถูกสร้างขึ้นเพื่อเฝ้า ดูแลสมบัติ ภายในพีระมิด อีกทั้งยังคอยขจัดวิญญาณชั่วร้ายไม่ให้มารบกวน หรือวุ่นวายกับพระศพอีกด้วยค่ะ

มหาสฟิงซ์แห่งกีซ่า ทำมาจากการแกะสลักรูปจากก้อนหินเพียงก้อนเดียว ส่วนศีรษะที่เป็นมนุษย์กว้างประมาณ 14 ฟุต และขนาดของตัวที่เป็นสิงโตมีความยาวมากกว่า 240 ฟุต จากขนาดที่กล่าวมานั้นทำให้มหาสฟิงซ์แห่งกีซ่า กลายเป็นรูปแกะสลักจากก้อนหินเพียงก้อนเดียวที่ใหญ่ที่สุดในโลก โอ้โห… ถ้าเราไปยืนตรงนั้นตัวคงเล็กกว่ามดแน่เลยค่ะ เพราะของเค้าใหญ่อลังการมากจริงๆ!


เที่ยวมหาวิหารอาบูซิมเบล (Abu Simbel Temples)

สถานที่ที่มีนักท่องเที่ยวเข้าชมมากเป็นอันดับสองของอียิปต์ ต้องยกให้กับ มหาวิหารอาบูซิมเบล(Abu Simbel Temples) วิหารหินขนาดมหึมา ที่ได้รับมอบให้เป็นมรดกโลกขององค์การยูเนสโก้ ตั้งอยู่บนพรมแดนของประเทศอียิปต์กับซูดานถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 13 ในรัชกาลของ Ramesses II เมื่อราวๆ 1,224 ปีก่อนคริสตศักราช เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองชัยชนะของอียิปต์ที่ชนะนิวเบียในสมรภูมิแห่งคาเดสค่ะ

วิหารแห่งนี้สร้างขึ้นจากการเจาะสกัดภูเขาสองลูก แบ่งออกเป็น วิหาร 2 หลัง คือวิหารที่สร้างขึ้น เพื่อองค์ฟาโรห์รามเสสที่สอง และพระมเหสีของพระองค์เอง จุดเด่นของวิหารแห่งนี้คือ รูปแกะสลักองค์ฟาโรห์รามเลสที่นั่งประทับอยู่บนบัลลังก์หน้าวิหารถึงสี่องค์ แต่ละองค์มีความสูง 20 เมตร เห็นแล้วต้องอ้าปากค้าง แบบทึ่งๆ ในความสามารถ และความพยายามของคนยุคก่อน ยกนิ้วให้เลยค่ะ



เมื่อเข้ามาภายในวิหารจะพบกับเสาหินทรงสี่เหลี่ยม 8 ต้นด้านใน แต่ละต้นจะมีการแกะสลักรูปของรามเลสที่ 2 ทรงชุดเครื่องแบบเทพ ภาพบนผนังต่างๆ ที่ถูกแกะสลักร่องลึก และลงสีบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ขององค์ฟาโรห์ ส่วนใหญ่จะเล่าถึงชัยชนะในสงครามของพระองค์ เดิมทีภายในวิหารได้มีการทาสีไว้ทั้งหมด แต่เพราะสภาพอากาศ ความชื้นต่างๆ ทำให้สีที่เคยถูกทาไว้หลุดร่อนออกไปจนหมดค่า

เดินเข้าไปถึงห้องบูชาด้านในสุดของตัววิหารใหญ่จะพบกับรูปแกะสลักของ เทพรา-ฮอรัคกี (Ra-Harakhty) , ฟาโรห์รามเสสที่ 2 ในฐานะองค์เทพสมมติเทพ , เทพอามุน (Amun) และ เทพพทาห์ (Ptah) ที่นี่เป็นวิหารที่ถึงจะมีอายุยาวนานมากแล้ว แต่ก็ยังคงความสวยงาม และความศักดิ์สิทธิ์ไว้อย่างเต็มเปี่ยมค่ะ



เที่ยวหุบเขากษัตริย์ และ สุสานฟาโรห์ทุตอังค์อามุน (Valley of the Kings and King Tutankhamun)
ถ้าพูดถึงหุบเขาหลายๆ คน คงนึกถึงหุบเขาที่มีดอกไม้และธรรมชาติที่สวยงาม แต่ไม่ใช่กับหุบเขาแห่งนี้แน่ค่ะ เพราะหุบเขาที่เรากำลังจะพาไปเช็คอินคือ หุบเขากษัตริย์ (Valley of the Kings) หุบเขาแห่งนี้ตั้งอยู่บนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไนล์ตรงข้ามกับเมืองธีปส์ หรือเมืองลักซอร์ในปัจจุบัน หุบเขากษัตริย์เป็นหุบเขาที่มีหลุมฝังศพถึง 63 หลุม! แต่ละหลุมจะมีห้องขนาดใหญ่ และเล็กต่างกันไป มีความซับซ้อนมากกว่า 120 ห้อง แน่นอนค่ะว่าต้องไม่ใช่หลุมฝังศพธรรมด๊า เพราะที่นี่คือหลุมฝังศพของเหล่ากษัตริย์ และราชวงศ์ของอียิปต์โบราณ ตั้งแต่ราชวงศ์ที่ 18 ถึง 20 เลยค่ะ เป็นสถานที่ที่เก่าแก่ และโบราณมาก แค่นี้ก็รู้สึกว่าขนแขนสแตนอัพแล้วว



อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้หุบเขาแห่งนี้มีชื่อเสียงมากๆ จนนักท่องเที่ยวหลั่งไหลกันมาอย่างไม่ขาดสายคือ การค้นพบสุสานฟาโรห์ทุตอังค์อามุน (King Tutankhamun) ในปีค.ศ. 1922 ที่ทำให้ผู้ค้นพบถึงกับตกตะลึงไปตามๆ กันทีเดียวเพราะในนั้นมีสมบัติมากมายมหาศาลที่ถูกเก็บไว้ภายในห้องของสุสาน แต่สิ่งที่ล้ำค่ามากกว่าสมบัติคือ การที่ค้นพบมัมมี่พระศพของฟาโรห์ทุตอังค์อามุนค่ะ ซึ่งถูกบรรจุไว้ในตู้ทองคำถึง 4 ชั้นเลยทีเดียว!

ที่อึ้งกว่าคือ เมื่อเจอโลงพระศพหินแล้วยังเจอโลงพระศพที่มีรูปร่างคนถูกประดับด้วยทองอีก 3 ชั้น และเมื่อเปิดออกถึงจะเจอมัมมี่พระศพของฟาโรห์ทุตอังค์อามุนค่ะ แล้วยังพบหน้ากากทองคำที่จำลองแบบพระพักตร์ของพระองค์ไว้อีกด้วย เมื่อเปิดหน้ากากออกจึงพบพระพักตร์ของพระองค์ มัมมี่ที่มีสภาพสมบูรณ์ที่สุดเลยค่ะ หน้ากากทองคำของพระองค์แสดงให้เห็นถึงความรุ่งเรืองของยุคทองในสมัยนั้น แต่ด้วยความที่นักสำรวจกลุ่มแรกหวังแค่ขุมทรัพย์เท่านั้น ทำให้ตัดสินใจเลาะหน้ากากออกจากพระพักตร์ของพระองค์!!!! น่าตีมือจริงๆ เลยน้อออ

ฟาโรห์ทุตอังค์อามุนมีชื่อเสียงมากเรื่องคำสาปของฟาโรห์ เนื่องจากเหนือสุสานมีข้อความอียิปต์โบราณเขียนไว้แปลได้ว่า ‘มัจจุราชจะมาสู่ผู้ซึ่งรบกวนการบรรทมของฟาโรห์’ และหลังการเปิดสุสานของพระองค์ มีผู้เกี่ยวข้องในการเปิดเสียชีวิตไปกว่า 22 คนโดยไม่ทราบสาเหตุ ทำให้ผู้คนเชื่อว่าเป็นเพราะคำสาปขององค์ฟาโรห์ค่ะ



มาเที่ยวอียิปต์ทั้งที ไม่มีทางอยู่แล้วค่ะที่จะเป็นการเที่ยวชมแบบธรรมดา เพราะนอกจากจะเดินชมอารยธรรมต่างๆ ภายในสุสานอันล้ำค่าแห่งนี้แล้ว ยังมีการขึ้นบอลลูนชมวิวอีกด้วยนะจ๊ะ ไม่ใช่ทุกที่นะคะที่จะสามารถขึ้นบอลลูนชมวิวแบบนี้ได้ แต่ที่อียิปต์แห่งนี้สามารถทำได้ค่า โดยเราจะได้ขึ้นไปสัมผัสกับบรรยากาศ และภาพภูมิทัศน์ต่างๆ ความงดงามของสถาปัตยกรรมเก่าแก่แบบอียิปต์โบราณ ที่จะสร้างความประทับใจไปแบบสุดๆ กับการขึ้นบอลลูนชมวิวที่นี่แน่นอน!


เที่ยววิหารคาร์นัก (Karnak Temple Complex)

วิหารคาร์นัก(Karnak Temple Complex) หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าดึงดูดที่สุดในอียิปต์ ตั้งอยู่ห่างจากเมืองลักซอร์เพียง 3 กิโลเมตรเท่านั้น เป็นสถานที่ทางศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในโลกอีกด้วยจ้า วิหารคาร์นักได้ชื่อว่าเป็นวิหารที่สวยงามที่ใหญ่ที่สุดของประเทศอียิปต์ วิหารแห่งนี้สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นการถวายแด่เทพเจ้าอะมอนรา(สุริยะเทพ) และเพื่อเป็นที่จัดพิธีกรรมต่างๆ ทางศาสนาตามความเชื่อของชาวอียิปต์โบราณค่ะ

วิหารคาร์นักเป็นวิหารกลางแจ้งที่มีกำแพงสูงทึบขนาดใหญ่สูงกว่า 1,000 ฟุต ทางเข้าวิหารเต็มไปด้วยหินแกะสลักของสฟิงซ์หัวแกะที่หมอบอยู่ตลอดสองข้างทาง วิหารคาร์นักประกอบไปด้วย 3 วิหารศักดิ์สิทธิ์ โดยมีวิหารเทพอะมอนราตั้งอยู่ตรงกลาง มีสถาปัตยกรรมของฟาโรห์มากมายหลายยุคเป็นองค์ประกอบ  ต่อมาคือวิหารเทพมอนดู ตั้งอยู่ทางทิศเหนือ และสุดท้ายคือวิหารเทวีมัต

นอกจากนี้ด้านในยังมี Great Hypostyle Hall เป็นห้องโถงขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่ถึง 65,000 ตารางฟุต มีเสาไฮโปสไตล์สูง 70 ฟุต ต้องใช้คนถึง 12 เลยนะคะถึงจะโอบเสานี้รอบ  ไม่ได้มีแค่ต้นเดียวนะคะ เพราะเสาขนาดยักษ์นี้มีถึง 134 ต้นเลยทีเดียว! ยิ่งพอตกเย็นก็จะมีการเปิดไฟโดยรอบวิหาร ทำให้บรรยากาศช่วงเย็นไปจนถึงกลางคืนสวยงามมากๆ เลยค่ะ



มาถึงเมืองลักซอร์แล้วห้ามพลาดที่จะมีของฝากติดไม้ติดมือกลับบ้านด้วยนะคะ ของฝากสุดฮิตสำหรับเมืองนี้ก็คงต้องยกให้ “อินทผลัม” ผลไม้สุดยอดสรรพคุณของชาวอียิปต์ นั่นเอง เป็นผลไม้ที่มีประโยชน์มากมายทั้งบำรุงสายตา ช่วยดูแล และควบคุมระบบประสาท ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดในสมอง ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด รักษาโรคเบาหวาน และอีกมากมายเลยค่ะ นอกจากนี้ยังมีของฝากอื่นๆ อีกเยอะแยะ เช่น ทั้งตุ๊กตาเซรามิค ตุ๊กตาโลหะ ตุ้กตาอูฐ หรือว่าจะเป็นผ้าพันคอลายอียิปต์ ภาพวาดกระดาษปาปิรุส น้ำหอมกลิ่นต่างๆ มากมาย



เที่ยวภูเขาซีนาย (Mount Sinai)

ภูเขาซีนาย (Mount Sinai) หรือที่เรียกว่า ภูเขาแห่งโมเสส มีความสูง 2,285 เมตร หรือประมาณ 7,497 ฟุต ภูเขาแห่งนี้มีความสำคัญเกี่ยวข้องกับทางศาสนา  เพราะมีการปรากฏชื่อภูเขาแห่งนี้ครั้งแรกในพระคริสตธรรมคัมภีร์ แต่เดิมภูเขาแห่งนี้ชื่อว่า “โฮเรบ” สถานที่ที่พระผู้เป็นเจ้าปรากฏให้โมเสสเห็นเป็นครั้งแรกค่ะ โดยมาให้เห็นในลักษณะไฟลุกบนต้นไม้แต่ว่าไม่ไหม้ และได้ตรัสกับโมเสสว่า ให้ปลดปล่อยชาวอิสราเอลที่เป็นทาสอยู่ในอียิปต์ ต่อมาเมื่อโมเสสสามารถปลดปล่อยชาวอิสราเอลได้แล้ว พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกให้ไปเข้าเฝ้าเป็นเวลาสี่สิบวันสี่สิบคืนด้วยกัน บนภูเขาซีนาย ได้ประทานบัญญัติ 10 ประการ หรือ คำสอน ข้อปฏิบัติตามคัมภีร์ฮีบรู แก่โมเสสครั้งแรก ณ ภูเขาแห่งนี้  ซึ่งมีความสำคัญกับชาวอิสราเอลมากๆ ทำให้ภูเขาแห่งนี้กลายเป็นสถานที่ที่สำคัญทางศาสนาไปโดยปริยายค่ะ



นอกจากจะเป็นสถานที่ที่สำคัญทางศาสนาแล้ว ยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามอีกด้วยค่ะ การขึ้นไปชมพระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้าที่ภูเขาซีนายพลาดไม่ได้เลยนะคะ รับรองเลยว่ามีเหงื่อตกแน่ๆ 5555 แต่ขอยืนยันนอนยัน ว่าคุ้มม!!

จะไปดูพระอาทิตย์บนเขาก็ต้องปีน ก่อนจะปีนก็ต้องมีการเตรียมตัวกันหน่อย แต่กิจกรรมแบบนี้ขอไม่แนะนำสำหรับคนที่มีโรคหัวใจ หรือความดันโลหิตนะคะ สภาพร่างกายต้องพร้อมลุย! ถึงแม้ว่าอียิปต์จะมีอากาศที่ค่อนข้างร้อน แต่การปีนเขาสูงขนาดนั้นอากาศด้านบนค่อนข้างหนาวเย็นมากเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นเสื้อผ้า ถุงมือ ถุงเท้า เครื่องกันหนาวต้องพร้อมสำหรับร่างกายเรา รองเท้าควรจะเป็นผ้าใบที่ใส่สบาย อย่าลืมพกน้ำไปดื่มระหว่างทางด้วยนะคะ และไฟฉายคือสิ่งที่ห้ามลืมเด็ดขาดเลย  เนื่องจากเราเดินทางในเวลากลางคืน และใช้เวลากว่า 3 ชม.เลยทีเดียวกว่าจะถึงจุดหมาย รุ่งสางแรกจะเริ่มขึ้นเมื่อเวลาประมาณตี 5 เพราะฉะนั้นก็ต้องเผื่อเวลากันหน่อยน้า


เที่ยวพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติอียิปต์ (Egyptian Museum)

พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติอียิปต์ (Egyptian Museum) ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะพิพิธภัณฑ์อียิปต์ หรือพิพิธภัณฑ์ไคโรส์ในกรุงไคโรประเทศอียิปต์ เป็นสถานที่เก็บวัตถุโบราณ ของล้ำค่ามากมายของอียิปต์ โดยรวบรวมไว้หลากหลายยุคสมัยด้วยกัน มีจำนวนกว่า 120,000 รายการ น่าจะต้องเดินเที่ยวชมตั้งแต่เช้ายันเย็นเลยค่ะ เพราะเยอะมากจริงๆ นะ

ของที่จัดแสดงก็ไม่ใช่ว่าจะหาดูที่ไหนได้ง่ายๆ น้า ไม่ว่าจะเป็นหน้ากากทองคำที่ไม่ได้เป็นเพียงหน้ากากธรรมดา แต่เป็นหน้ากากที่เชื่อกันว่าเป็นของ King Tutankhamen  หน้ากากที่มีอายุยาวนานกว่า 300 ปีเชียว! ตัวหน้ากากถูกเลาะออกมาจากพระพักตร์ขององค์ฟาโรห์เมื่อครั้งค้นพบสุสานฟาโรห์ทุตอังค์อามุน มีน้ำหนักประมาณ 14 กิโลกรัม และยังเป็นสัญลักษณ์ของอารยธรรมอียิปต์โบราณทั่วโลกด้วยนะคะ

รวมถึงโลงศพที่ทำมาจากทองคำแท้หนัก 110 กิโล! O.O ที่บรรจุมัมมี่ในรูปแบบของการบรรทมไว้ ตัวโลงถูกสลักเป็นเทพโอซิริส ซึ่งสัญลักษณ์ของฟาโรห์ อบพระศอทรงสร้อย 2 ชั้นถูกทำขึ้นด้วยทองสีแดง และเหลือง พระหัตถ์มีลักษณะไขว้อยู่บนพระอุระ ทรงกุมแส้ และพระคทาหัวขอ ส่วนผิวหน้าโลงที่เป็นทองคำทั้งหมดจะมีการสลักเป็นลวดลายขนนก ประดับไปด้วยอัญมณีที่งดงามมากๆ เลยค่ะ

หรือจะเป็นการชมพระเศียรของพระนางเนเฟอร์ติติ ซึ่งเป็น 1 ใน 2 ชิ้นที่มีชื่อของโลก ชมห้องมัมมี่ 11 กษัตริย์  รวมถึงการจัดแสดงเครื่องประดับที่ได้ชื่อว่าเป็นการจัดแสดงที่ดีที่สุดในโลก เพราะมีทั้งงาช้าง และกำไลทองที่ถูกกู้คืนมาจากหลุมฝังศพของ Tutankhamen  และอื่นๆ อีกมากมายที่สามารถหาดูได้แค่ที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เท่านั้น!!! เห็นไหมคะว่าของเค้าไม่ธรรมดาจริงจริ๊งงง


เที่ยวทะเลทรายเวสเทิร์นสะฮารา (Western Sahara Desert)

ถ้ามาอียิปต์แล้วไม่ไป ทะเลทรายเวสเทิร์นสะฮารา (Western Sahara Desert) ถือว่ามาไม่ถึงเลยทุกค๊น ที่นี่ทะเลทรายที่ใหญ่ที่สุดของโลก มีพื้นที่กว่า 9,000,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งใหญ่เป็นอันดับสามรองจากทวีปแอนตาร์กติกา และอาร์กติกเลยค่ะ แต่เห็นเป็นทะเลทรายที่แห้งแล้งแบบนี้ พื้นที่ตรงนี้เคยเป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์มากๆ เลยนะคะ มีแม่น้ำ มีทั้งสัตว์นานาชนิดอาศัยอยู่ แต่ด้วยความแห้งแล้งของภูมิภาคแอฟริกาเหนือ ทำให้พื้นที่แห่งนี้กลายเป็นทะเลทรายมานานกว่า 2,000 ปีแล้วค่ะ เอ้ะๆ ! ถึงจะแห้งแล้งขนาดนี้แต่ดันมีหิมะตกได้ซะงั้น แต่ตกมาเพียงแค่สองครั้งเท่านั้นนะคะ โดยที่ครั้งแรกห่างกับครั้งที่สองนานถึง 37 ปีเลยทีเดียว

สิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวนอกจากจะเป็นการมาเที่ยวชมทะเลทรายแล้ว นั่นก็คือ การมาดูพระอาทิตย์ขึ้นที่นี่ด้วยค่ะ มาทั้งทีถ้าจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นเฉยๆ มันก็คงจะธรรมดาไปเนอะ คนอื่นเค้าเดินหรือปีนขึ้นเขาไปดู เราขี่อูฐไปดูค่ะ! ดูแสงอาทิตย์ที่กำลังขึ้นช้าๆ ค่อยๆ กระทบผืนทราย บรรยากาศเหมือนหลุดออกมาจากนิยายเลย คือดีย์!



ละถ้าคิดว่าจะหมดแค่นี้… ผิดแล้วค่ะ!! เพราะยังมีทะเลทรายขาว หรือที่เรียกกันว่า White Desert Safari เป็นทะเลทรายยอดฮิตของนักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมเยียนอียิปต์เลยค่ะ จุดเด่นของที่นี่คือแท่งหินรูปร่างแปลกประหลาด ที่มีทั้งขนาดเล็กใหญ่ปะปนกันอยู่ แท่งหินเหล่านี้เกิดจากพายุทะเลทรายที่พัด และกัดกร่อนจนหินปูนต่างๆ  มีรูปร่างที่แปลกประหลาดออกไป



มีทะเลทรายขาวแล้วจะขาดทะเลทรายดำไปได้ยังไงกัน… แต่ไม่ใช่ทรายนะคะที่ดำ จริงๆ มันคือหินต่างหากล่ะที่สีดำ! แต่เมื่อมองไปมองมาก็จะคล้ายๆ ทรายที่มีสีดำ ทำให้มีชื่อเรียกว่าทะเลทรายดำในที่สุดจ้า ตกกลางคืนก็จะมีการตั้งแคมป์นอนดูดาวกัน ตอนกลางคืนอากาศกลางทะเลทรายจะหนาวมากกก เตรียมเสื้อกันหนาวมาด้วยนะคะ หรือไม่ก็…  เตรียมคนข้างๆ มานอนกอดก็ดีนะคะ อิอิ



เที่ยวเมืองอเล็กซานเดรีย (Alexandria)

เมืองอเล็กซานเดรีย (Alexandria) เป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนทะเลเมดิเตอร์เรเนียนในภาคเหนือของอียิปต์ ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อปีค.ศ. 331 โดย Alexander the Great เป็นที่รู้จักมากที่สุดในสมัยโบราณ และเป็นที่ตั้งของ Pharos ประภาคารที่ยิ่งใหญ่ ถูกนับเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกโบราณด้วยน้าา เมืองนี้เป็นเมืองที่มีเขตสาธารณะที่สวยมากๆ เลยค่ะ รวมถึงพระราชวังซึ่งครอบคลุมพื้นที่ 4 หรือ 1 ใน 3 ของพื้นที่ทั้งหมดอีกด้วย ไปที่นี่ต้องยกกล้องมาแชะภาพ และเก็บบรรยากาศกันรัวๆ รับรองว่าได้รูปเด็ดๆ แน่นอนค่ะ



มาถึงเมืองอเล็กซานเดรียแล้วก็ต้องแวะไป ห้องสมุดอเล็กซานเดรีย (Bibliotheca Alexandrina) กันหน่อย งงล่ะสิ มาอียิปต์ทั้งทีจะไปทำไมห้องสมุด ก็ห้องสมุดที่เรากำลังจะพูดถึงคือห้องสมุดที่เกิดขึ้นในยุคแรกๆ ของโลกเลยน้า ภายในห้องสมุดมีที่นั่งกว่า 20,000 แค่เจอจำนวนที่นั่งไปก็อึ้งแล้วค่ะ นี่มันห้องสมุดหรืออะไรเนี่ย! หนังสือก็มีไม่มากหรอกค่ะ แค่ประมาณ 8 ล้านเล่มเอง… วารสารก็แค่ประมาณ 4000 ฉบับอะนะ ถ้าพูดถึงหนังสือหายากก็มีไม่มากหรอกค่ะ แค่ประมาณ 50,000 เล่ม นิดหน่อยเท่านั้น 555  มีอาคารที่เป็นท้องฟ้าจำลองด้วยนะ ส่วนสถาปัตยกรรมของห้องสมุดก็ออกจะธรรมด๊าธรรมดา แค่มีหลังคาที่เปิดได้เพื่อให้แสงธรรมชาติสามารถสาดส่องเข้ามาภายในอาคาร หลังคาเปิดได้อะทุกค๊นน!! นี่เป็นห้องสมุดจริงๆ ใช่มั้ย ทำไมมันล้ำสมัยขนาดนี้!



อีกที่ที่แนะนำให้ไปคือ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติของเมืองอเล็กซานเดรีย (Alexandria National Museum) เป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่ดีที่สุดของอียิปต์เลยค่ะ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติตั้งอยู่ในพระราชวัง Al-Saad Bassili Pasha เก่า ที่ได้รับการบูรณะ และมีวัตถุประดิษฐ์ประมาณ 1,800 ชิ้นที่เล่าถึงประวัติศาสตร์ของเมืองอเล็กซานเดรียตลอดทุกยุคทุกสมัย ตัวพิพิธภัณฑ์ถูกออกแบบเป็นคฤหาสน์สไตล์อิตาเลียนสีขาวที่ตั้งอยู่ในสวนของต้นไม้ และพืชที่หายากภายในพระราชวังค่ะ


เที่ยวล่องเรือแม่น้ำไนล์ (River Nile Cruise)

ไปทั้งหุบเขา โบราณสถาน ทะเลทรายกันมาแล้ว งั้นเรามาต่อกันที่ ล่องเรือแม่น้ำไนล์ (River Nile Cruise) กันดีกว่าค่ะ แม่น้ำไนล์เป็นแม่น้ำที่ยาวที่สุดในโลก ตั้งอยู่ในอียิปต์ และเป็นแม่น้ำที่มีความสำคัญกับชาวอียิปต์มากค่ะ ซึ่งเริ่มต้นเมื่อประมาณ 5 ล้านปีก่อน จากแม่น้ำเริ่มไหลลงสู่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศอียิปต์ การตั้งถิ่นฐานอย่างถาวรจึงค่อยๆ เริ่มต้นขึ้น ถือว่าเป็นแม่น้ำที่ให้กำเนิดอารยธรรมของชาวอียิปต์เลยก็ว่าได้  และยังเป็นแม่น้ำที่มีความสำคัญใน ตำนานโอซิริส (Osiris) อีกด้วยจ้า ถ้าไม่มีแม่น้ำสายนี้สามารถพูดได้เลยค่ะว่าอาจจะไม่มีอียิปต์ในปัจจุบันก็ได้นะ

โม้มาขนาดนี่แล้ว จะพลาดการล่องเรือบนแม่น้ำที่มีความสำคัญขนาดนี้คงไม่ได้แล้ว ล่องเรือชมการใช้ชีวิตสมัยใหม่ของชาวอียิปต์ตามแนวชายฝั่งของแม่น้ำไนล์  และสถานที่ที่น่าสนใจอีกมากมาย สัก 3-4 คืน บรรยากาศดีๆ ยามเย็นของแม่น้ำไนล์ที่ว่าดีแล้ว ถ้าได้มองจากเรือสุดอลังการจะต้องทำให้เพื่อนๆ ประทับใจจนอยากกลับมาที่นี่อีกครั้งแน่นอนค่ะ




เที่ยวเมืองฮูร์กาดา ชายฝั่งทะเลแดง(Hurghada, Red Sea)

เมืองฮูร์กาดา ชายฝั่งทะเลแดง (Hurghada, Red Sea) เป็นเมืองท่องเที่ยวชายทะเลที่มีอากาศร้อนตลอดปีโดยมีอุณหภูมิไม่ต่ำกว่า 20 องศาเซลเซียส และยังเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวของอียิปต์อีกด้วย ตัวเมืองตั้งอยู่บริเวณริมชายฝั่งทะเลแดง (Red Sea) เป็นเมืองที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวมาได้อย่างไม่ขาดสาย โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบการดำน้ำดูปะการัง และนักดำน้ำจากประเทศอื่นๆ มากมาย เนื่องจากมีทั้งปะการังที่สวยงาม และสายพันธุ์ปลากว่าหนึ่งพันชนิดที่อาศัยอยู่ในทะเลแดง การเล่นวินเซิร์ฟ ก็ได้รับความนิยมอย่างมากเช่นกันค่ะ นอกจากนี้ยังมีการขี่อูฐชมเมือง หรือการขับรถชมภูมิทัศน์ ส่วนใครที่ชอบแสงสีตอนกลางคืนก็เตรียมตัวเพลิดเพลินไปกับสถานบันเทิงต่างๆ ยามค่ำคืนที่มีชื่อเสียงรวมถึง Ministry of Sound Beach Club ตลอดจนดิสโก้ และความสนุกมากมายที่รอคุณอยู่ค่ะ ส่วนใครที่สนใจจะมาเที่ยวที่เมืองฮูร์กาดาแต่ไม่รู้จะพักที่ไหนดี ขอให้ตรงดิ่งมาที่ The Oberoi Sahl Hasheesh และ Kempinski Hotel Soma Bay อย่างไม่ต้องลังเลเลยค่ะ รับรองเลยว่าแค่เห็นบรรยากาศภายนอกก็เอาใจไปเล้ย คงต้องสับสนกันแน่ๆ ว่านี่คือโรงแรมจริงๆ ใช่มั้ยย ยิ่งใหญ่อลังการจริงๆค่ะ เมืองฮูร์กาดานี่เป็นเมืองที่ครบครันทั้งกิจกรรม ความบันเทิง ธรรมชาติ แถมที่พักยังสวยงามขนาดนี้ เหมือนเป็นเมืองที่ถูกสร้างมาเพื่อมอบความสุขกับทุกคนเลยยย ถ้าได้มาต้องไม่ผิดหวังแน่นอนค่ะ รีบจองตั๋วกันเดี๋ยวนี้เลยนะ! อิอิ




ขอบคุณแหล่งที่มา https://www.yingpook.com

No comments:

Post a Comment